ดวงดาวบนท้องฟ้า เกี่ยวข้องอย่างไร?
กับความเป็นมา-และความเป็นไป ของชีวิตมนุษย์
มีบุคคลที่เก่งที่สุดในโลกพูดไว้ว่าคำของท่านนั้น ถูกต้อง-ตรง-จริงเสมอ และจะเป็นจริงไปตลอดกาล ท่านมีชื่อว่าตถาคต ท่านพูดเรื่องความเป็นมาและความเป็นไปของดวงดาวบนท้องฟ้านั้นไว้เมื่อ2,500กว่าปีที่ผ่านมา แต่บังเอิญนักวิทยาศาสตร์ในยุคหลังค้นคว้าไปเจอคำตอบที่ ถูกต้อง-ตรง-จริง ที่ท่านกล่าวไว้แล้ว ค่อยๆเผยคำตอบออกมาเรื่อยๆตามยุคสมัย และตามความสามารถของเครื่องมือวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ (ที่มาบาลี ติก.อํ. ๒๐/๒๙๒/๕๒๐)
ตถาคตพูดไว้ว่า ลักษณะของกลุ่มดาวบนท้องฟ้า ที่มีลักษณะเคลื่อนไหวตัวไปเหมือนจักร เป็นจักรวาล เป็นคำที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน แต่อาจารย์คิดว่ามันคือGalaxyในภาษาอังกฤษ เพราะกลุ่มดาวที่เคลื่อนหมุนวนกันเหมือนขดก้นหอยนั้น ก็มีกาแล็กซีหนึ่งที่มีโลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่คือ กาแล็กซีทางช้างเผือก ฉะนั้นจักรวาลในคำตถาคตจึงน่าจะเป็นGalaxyมากกว่า ส่วนUniverseน่าจะหมายถึงโลกธาตุในคำตถาคต ที่หมายถึงระบบของการเวียนว่ายของสิ่งมีชีวิตระบบหนึ่งๆ
ท่านกล่าวไว้ในพระสูตรมีความว่า ดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์แผ่รัศมีส่องแสงสว่างไปทั่วทิศ กินเนื้อที่ได้ประมาณเท่าใด ก็จะมีโลก ที่มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่แบบนี้1,000ดวง ซึ่งปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบดวงอาทิตย์ในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเราได้หลายดวงแล้ว และก็คาดการณ์ไว้ว่ามีดวงดาวอีกหลายดวงที่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่ยังไม่สามารถส่งยานอวกาศไปสำรวจกันได้ แต่ที่อาจารย์ยกตัวอย่างมาประกอบนี้ เพื่อชี้ให้เห็นว่า หากเราเชื่อในพระพุทธเจ้า เราก็สามารถเอาคำตอบที่ ถูกต้อง-ตรง-จริง ของท่านมาใช้พลางๆก่อนได้เลย ไม่ต้องรอให้นักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไปถึง ซึ่งเราอาจจะตายเสียก่อน ก่อนที่วันนั้นจะมาถึงจริงๆ แค่ปัจจุบันเขาพิสูจน์ได้ใกล้เคียงคำตอบ ที่ตถาคตกล่าวเฉลยไว้ก่อนแล้ว เราก็เอาคำตถาคตมากาง เพื่อพิสูจน์หลักโหราศาสตร์ ว่าจริงๆแล้วเป็นวิทยาศาสตร์ชนิดหนึ่ง เป็นสถิติศาสตร์ ที่มีเหตุผลล้ำลึกนั่นเอง
มาดูต่อกันว่าในพระสูตรบอกว่า ในโลก1,000พันดวงนี้นั้น ก็มีดวงจันทร์1,000ดวง มีดวงอาทิตย์1,000ดวง และก็มีดาวที่คล้ายๆโลกนี้1,000ดวง โลกที่เราอาศัยอยู่นี่แหละเรียกว่าชมพูทวีปจึงมี1,000ชมพูทวีปนั่นเอง รวมกันทั้งหมดเป็นหนึ่งระบบการเวียนว่าย คถาคตเรียกว่าสหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ ซึ่งน่าจะหมายถึงกลุ่มกาแล็กซี่ต่างๆเป็น1,000กาแล็กซี่ รวมทั้งกาแล็กซี่ที่เราอาศัยอยู่นี้ด้วย ซึ่งมีนักวิทยาศาสตร์หลายๆรุ่นตั้งทฤษฎีกันว่า น่าจะเป็นทรงกลม หากเป็นดังนั้นจริงๆ ใน1ระบบการเวียนว่ายนี้ ก็มี1,000จักรวาล(หรือ1,000กาแล็กซี่ในภาษาอังกฤษ)นั่นเอง
![]() |
และที่เหนือชั้นกว่านั้น หนึ่งระบบการเวียนว่ายรวมทั้งที่เราอาศัยอยู่นี้ เป็นระบบอย่างเล็กมี1,000จักรวาล ยังมีระบบการเวียนว่ายขนาดกลางเรียกว่า ทวิสหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ มี1ล้านจักรวาล และก็มีระบบการเวียนว่ายที่ใหญ่กว่านั้นอีกเรียกว่า ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุมี1แสนโกฏิจักรวาล
![]() |
ซึ่งพอเราติดตามมาถึงตรงนี้ หากในอนาคตนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไปถึง เราก็จะรู้ได้ว่าดวงดาวทั้งหลายที่เรามองไปบนท้องฟ้ายามค่ำคืนนั้น เราก็จะมองเห็นเฉพาะกลุ่มดาวในจักรวาลที่เราอาศัยอยู่นี้(ในกาแล็กซีทางช้างเผือกนี้) หาก1,000กาแล็กซีรวมกัน มีพื้นที่มหาศาล หาขอบของมันไม่เจอ ก็อาจจะเป็นไปได้ตามที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฎีกันว่า มันรวมกันเป็นทรงกลม แล้วก็มีกลุ่มขดก้นหอยประมาณล้านขดอยู่รอบๆทรงกลมนั้น โลกของเราก็อยู่ในขดก้นหอยขดหนึ่ง ที่มีชื่อเรียกว่าทางช้างเผือกนั่นเอง
![]() |
ซึ่งทางช้างเผือกนี้มีดวงอาทิตย์1,000ดวง มีดวงจันทร์1,000ดวง และก็มีโลกชมพูทวีปแบบที่เราอาศัยอยู่มีอีก1,000โลกนั่นเอง คราวนี้มันจะเข้ากับหลักโหราศาสตร์ได้เลยว่า
1.ตอนเราเกิดออกจากท้องแม่นั้น หากมีรีโมทกดหยุดทุกสรรพสิ่งไว้ เวลาและองศาของดวงอาทิตย์ตอนเราเกิดนั้น อาจจะเป็นของดวงอาทิตย์ในชมพูทวีปอื่นก็ได้ ซึ่งเราตายจากชมพูทวีปนั้น แล้วมาเกิดในชมพูทวีปนี้ แล้วมีองศาและเวลาของดวงอาทิตย์ที่เท่ากัน หรือมาจากจักรวาลอื่นไปเลย หรือมาจากระบบการเวียนว่ายอื่นที่ครอบซ้อนจักรวาลเราอยู่อีกวง แต่เวล-องศามันเท่ากันนั่นเอง
2.เมื่อเรามาเกิดแล้ว ดวงดาวทั้ง10ดวงบนท้องฟ้าในระบบสุริยะนี้แหละ ที่ส่งผลเป็นช่วงๆ รายสัปดาห์ รายเดือน รายปี ส่งผลดี ส่งผลร้าย ไปตามจังหวะชีวิตของเรา ส่วนดาวราหูบนท้องฟ้านั้นไม่ได้มีอยู่จริง แต่อาจจะเป็นแรงจากหลุมดำที่ใดที่หนึ่ง ที่เข้ามามีผลต่อการแลกซี่ทางช้างเผือกที่เราอาศัยอยู่นี้โดยตรง หรือเป็นแรงจากอีกระบบที่ครอบซ้อนเราอยู่ ก็อาจจะเป็นไปได้เช่นกัน
3.คราวนี้กลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆ ที่เรียงรายอยู่เต็มท้องฟ้านั้น ก็ส่งแรงทั้งดีและร้ายผ่านดวงดาว10ดวงที่โคจรอยู่บนท้องฟ้า ลูกนวางค์ต่างๆ และลูกตรียางค์ต่างๆ รวมถึงตรียางค์พิษอื่นๆ ก็มีดาว8ดวงเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะเป็นดาวในระบบสุริยะอื่น ที่อยู่ใกล้ระบบสุริยะของเรานั่นเอง หรืออยู่ในระบบการเวียนว่ายอื่นที่ครอบซ้อนเราอยู่นั่นเอง
4.ส่วนดวงดาวในระบบสุริยะโคจรอยู่บนท้องฟ้า แต่คนไม่เกิดมาแล้ว แล้วมันมีผลต่อดวงดาวที่เรากดรีโมทหยุดเวลาไว้ตอนเราเกิดได้อย่างไร? ก็อาจจะเป็นชมพูทวีปอื่นส่งเรามาเกิด หรือระบบการเวียนว่ายอื่นที่ส่งเรามาเกิดบนโลกมนุษย์นี้ ครอบซ้อนเราอยู่ เขาก็มีระบบดวงดาว เวลา และองศาที่ตรงกันพอดี ก็เป็นไปได้นั่นเอง
ซึ่งอาจารย์ก็อนุมานเอาตามหลักความน่าจะเป็น เพราะเชื่อในคำจากปากตถาคตว่า ถูกต้อง-ตรง-จริงตลอดกาล เพราะเอาแค่แสงอาทิตย์ของดวงอาทิตย์ที่อยู่บนท้องฟ้าโลกของเรานั้น ในขณะนี้เรายังค้นพบดาวดวงอื่นๆที่คาดว่าน่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้อีกหลายดวงทีเดียว ซึ่งหากมี1,000ดวงตามที่ตถาคตกล่าว แค่นี้ก็เติมเต็มหลักโหราศาสตร์ได้ไปหมดแล้ว ว่าศาสตร์ชนิดนี้เป็นวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง เป็นสถิติศาสตร์ ไม่ใช่ศาสตร์ที่งมงายอย่างใด เท่าแต่ไม่มีผู้รู้ ผู้แตกฉาน หรือครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆ ก็ไม่ได้ถ่ายทอดมา อาจารย์โชคดีที่ปฏิบัติธรรมมาหลายปี แล้วไปเจอในพระไตรปิฎกโดยบังเอิญนั่นเอง เลยรู้ว่าผู้ที่เอาศาสตร์ชนิดนี้มาเผยแพร่ ไม่ใช่มนุษย์เป็นแน่แท้ ต้องเป็นผู้มีปัญญาเหนือกว่านั้น ซึ่งจะเป็นใครนั้น เรามาติดตามกันในบทต่อไปครับ...
0 comments:
Post a Comment