สรรพสัตว์เริ่มเป็นไปตามกรรม เมื่อมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปรากฏ
อาจารย์จะไม่พูดถึงมนุษย์คู่แรกบนโลกตามคำสอนในศาสนาอื่น แต่จะยกคำตถาคตมาเป็นหลักฐาน(บาลี ปา.ที.๑๑/๙๒/๕๖) เพราะมีทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ยุคปัจจุบันพิสูจน์ไว้แล้ว คำตอบนั้นดันไปตรงกับคำพระพุทธเจ้าที่กล่าวไว้เมื่อ2,500กว่าปีดังนี้คือ โลกนี้เคยได้มีการแตกสลายไป แล้วผ่านเวลาอันยาวนานก็รวมตัวก่อเป็นโลกใหม่อีกครั้ง แล้วก็แตกสลายไปอีก เป็นแบบนี้มาจนหาจุดกำเนิดและจุดสิ้นสุดไม่ได้
แต่ระบบการเวียนว่ายนั้น ไม่ได้จบสิ้นตามการแตกสลายของโลกไปด้วย สิ่งที่เวียนว่ายอยู่นั้นตถาคตเรียกว่า“สัตว์” เป็นภาษาบาลีแปลว่า“ผู้ยึดติด” ในขณะที่โลกกำลังพังทลายอยู่นั้น หมู่สัตว์ทั้งหลายอยู่กันในมิติที่เรียกว่า“อาภัสสระ” ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการเนรมิตสิ่งที่อยากได้เอา มีความปิติเป็นอาหารเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ มีลำแสงรัศมีออร่าแผ่ออกจากกายทิพย์นั้น เพราะในขณะนี้นันยังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปรากฏ สัญจรไปมาในอากาศ มีวิมานอันงดงาม และก็เป็นอยู่อย่างนั้นในเวลาอันยาวนาน
และในกาลเวลาอันยาวนานนั้น จนถึงจุดหนึ่งโลกก็ก่อตัวรวมกันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เหล่าาอาภัสสระก็พากันมาจุติลงมาบนโลกที่กำลังเจริญขึ้นนั้น แต่ก็ยังเป็นพื้นน้ำทั้งหมด ยังไม่มีดวงอาทิตย์และยังไม่มีดวงจันทร์ แถมตถาคตยังกล่าวว่าในขณะนั้นจักรวาลหรือกาแล็กซีที่เราอาศัยอยู่นี้เป็นน้ำทั้งหมด มืดมนไม่แลเห็นสิ่งใดนั่นเอง ซึ่งตรงนี้ก็ตรงกับทฤษฎีที่นักวิทยาศาสตร์ตั้งสมมติฐานกันไว้ในเรื่องBig Bang การระเบิดก่อตัวครั้งแรกจนเป็นจักรวาลเช่นทุกวันนี้นั่นเอง
คราวนี้พระพุทธเจ้ายังกล่าวต่อไปว่า บนโลกที่มืดมิดและมีแต่น้ำนั้น ได้เกิดมีง้วนดินปรากฏขึ้น เหมือนนมสดข้น จับกันเป็นฝ้าลอยอยู่บนผิวน้ำ มีสี-กลิ่น-รส-คล้ายเนยใส รสชาติอร่อยดังน้ำผึ้ง เหล่าอาภัสสระก็พากันเพลิดเพลิน ในการเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นมาลองชิมดู ปรากฏการณ์ตรงนี้เป็นการเปลี่ยนรูปของพลังงาน ที่มีร่างทิพย์ แต่ไปช้อนเอาของหยาบเข้ามาผสมในร่างทิพย์ก็เป็นพลังงานของตน จึงเกิด“ความอยาก”ขึ้น ซึ่งเชื้อแห่งความอยากของเหล่าอาภัสสระก็มีอยู่แล้ว แต่คงระงับไปเพราะอยู่ในมิติที่เป็นพลังงานในรูปแบบของตนล้วนๆ แต่ตอนนี้พามาเพลิดเพลินกันอยู่ที่ผิวโลกที่เต็มไปด้วยน้ำ กายทิพย์ก็เริ่มเปลี่ยนรูปเป็นกายหยาบมากขึ้น ออร่า รัศมี แสงที่แผ่ออกจากกาย ก็เริ่มหายไปเรื่อยๆ จนมีดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นมา เกิดมีกลางวันและกลางคืนปรากฏขึ้นมา กลุ่มดาวฤกษ์และดาวนักษัตรต่างๆก็ปรากฏขึ้นมาครบองค์ประกอบ
พอมาถึงตรงนี้ก็จะเข้าประเด็นทางโหราศาสตร์ได้ทันทีคือ ในห้วงเวลาอันนานแสนนานที่ยังไม่ปรากฏอาทิตย์และจันทร์นั้น เหล่าผู้เวียนว่ายอาภัสสระนั้นอยู่กันเหมือนผู้ไม่มีกรรม ทั้งๆที่จริงนั้นเนื้อหากรรมยังมีอยู่ยัง ไม่ตาย ไม่เกิด จนปรากฏการรวมตัวของโลกรอบใหม่เกิดขึ้น มีง้วนดินเกิดขึ้น สถานที่ได้ใช้กรรมปรากฏ เชื้อกระตุ้นความอยาก ความยึด ความมีตัวตนในภายใน กระตุ้นให้พวกเขาพากันมาจุติบนพื้นโลกที่เต็มไปด้วยผิวน้ำ แต่ตอนนั้นก็ยังไม่มีการตาย-ไม่มีการเกิด เพราะยังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ปรากฏ
นี่แสดงว่าเข้าหลักตำราทางโหราศาสตร์ชั้นสูงเลย จะว่าบังเอิญก็ไม่ใช่ อาจารย์มองว่าคำสอนพระพุทธเจ้านั้นเหนือกว่าหลักโหราศาสตร์ ครอบหลักโหราศาสตร์ขึ้นไปอีกหลายชั้น แก่นพุทธศาสน์ที่เป็นโลกุตระจึงสามารถแก้กรรมทางโหราศาสตร์อย่างได้ผล แสดงว่าผู้เรียนโหราศาสตร์ต้องลึกซึ้งและปฏิบัติได้ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้นไป จึงจะแก้กรรมให้คนอื่นเป็น และสลัดกรรมของผู้อื่นไม่ให้พ่วงพันเป็นกรรมมาถึงตัวผู้เป็นนักโหราศาสตร์เองได้
คราวนี้กลับมาตอนที่โลกกำลังก่อตัวขึ้นมาใหม่ เหล่าอาภัสสระได้พากันมาจุติบนพื้นโลก การเคลื่อนลงมาแบบนี้คือรูปแบบของการเกิดรูปแบบหนึ่ง เหล่าอาภัสสระได้มาหลงยึดในรสชาติของสภาวะที่หยาบกว่า ลำแสง-รัศมี-ออร่า ที่แผ่ออกจากกายนั้นก็หมดไป ในขณะนั้นดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ได้ปรากฏขึ้นให้แสงสว่างแทน เวลาได้กำเนิดเกิดขึ้น จากสภาวะที่เป็นทิพย์อันยาวนาน ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย เชื้อแห่งความยึด ความอยากยังมีอยู่ เมื่อมีกลางวัน-กลางคืนเกิดขึ้น รูปแบบของการใช้กรรมก็เกิดขึ้นครบถ้วนสมบูรณ์ รูปร่าง หน้าตา บุคลิก ผิวพรรณ ความสวยงาม ความหยาบกร้าน ของเหล่าอาภัสสระแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน เพราะเชื้อกรรมที่แฝงอยู่ในภายในนั้น เริ่มส่งผลกรรมให้กายหยาบมีความแตกต่างกัน ตามความอยาก ความยึด ความมีตัวตน ที่ไม่เหมือนกันของแต่ละคนนั่นเอง
มาถึงตรงนี้จึงสรุปได้ชัดเจนว่า กรรมของมนุษย์นั้น เริ่มส่งผล เริ่มได้ชดใช้กรรม ทั้งกรรมดีและกรรมไม่ดี คือตอนที่เริ่มมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์นั่นเอง ฉะนั้นการมาเกิด การมาจุติของชีวิตชีวิตหนึ่ง ตอนออกจากท้องแม่นั้น อาจจะไม่ใช่ตำแหน่งดาวอาทิตย์และดาวจันทร์ในระบบสุริยะที่ส่งมาก็ได้ แต่อาจจะเป็นระบบอื่นส่งเรามาเกิด แต่ดันมีตำแหน่งองศาและเวลาของดาวอาทิตย์และดาวจันทร์ที่ตรงกัน ในหลักโหราศาสตร์ชั้นสูงเรียกกำลังวาสนา-บารมีว่า“อินทภาส” ซึ่งหมายถึงดาวอาทิตย์นั่นเอง เรียกกำลังบุญ-กุศล-ทานบารมี-คุณธรรมในจิตใจว่า“บาทจันทร์” ซึ่งหมายถึงดาวจันทร์นั่นเอง ซึ่งไปตรงกับคำตถาคตที่มีความหมายว่า สรรพสัตว์เริ่มเป็นไปตามกรรม เมื่อมีห้วงของเวลาเข้ามากำหนดให้เป็นไปนั่นเอง ดังนั้นหลักอินทภาสและบาทจันทร์นี้ อาจารย์บังเอิญไปเจอในพระไตรปิฎกแล้วเอามาเปรียบเทียบกับการกำเนิดโลกได้อย่างลงตัวพอดี และเชื่อในคำพระพุทธเจ้าว่า ถูกต้อง-ตรง-จริง-ตลอดกาล จึงเอามาใช้ในการอธิบายหลักโหราศาสตร์ ให้บรรดาลูกศิษย์ได้เห็นภาพมุมกว้าง ถึงที่ไป-ที่มา ไม่ใช่การนึก มโน จินตนาการไปเอง และมีเหตุผลที่หยิบยกมาประกอบ และพิสูจน์ได้จริงนั่นเอง
คราวนี้ในหลักโหราศาสตร์ชั้นสูงเราจะจับหลักอยู่3หลัก เพื่อประมวลผลวาสนา-บารมี-และบุญเก่าของคนคนหนึ่งว่า มีดี-มีเสียประการใดนั่น คือคำนวณหาที่วางหลักอินทภาส และดูว่าหลักอินทภาสนี้ให้คุณหรือให้โทษ หากให้โทษภาษาโหรจะเรียกว่า“ฆาตมฤตยู” จริงๆแล้วมันคือหลักอินทภาสนั่นเอง หากมันให้โทษจึงเรียกชื่อใหม่เสียว่าฆาตมฤตยูแทน ต่อไปเราก็ดูที่หลักบาทจันทร์ประกอบว่า ให้คุณหรือให้โทษประการใด โดยสมมติง่ายๆเหมือนเราไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ แล้วมีถุงใส่ ข้างถุงนั้นเขียนว่าอินทภาส-บาทจันทร์ ข้างในมีของอยู่3ชิ้นคือ เกณฑ์อุดมชะตา เกณฑ์มัธยมชะตา และเกณฑ์หายนะชะตา บรรจุอยู่ในถุงอินทภาส-บาทจันทร์นั้น
ตัวสุดท้ายที่เราจะเอามาประมวลผล ในการหาวาสนา-บารมี-บุญเก่าของคน คือเวลาตอนที่ออกจากท้องแม่ นั่นคือที่วางตำแหน่งของลัคนา สามอย่างนี้รวมกันเป็นอินทภาส-บาทจันทร์-ลัคนาคือ สิ่งที่เราใช้ลดตัดทอน ประมวลผล หรือเพิ่มมูลค่า ให้กับชะตาชีวิตคน เป็นทางเข้าอันแท้จริงในการดูทิศทางชีวิตของคนอย่างเห็นผล ไม่ต้องไปวน วุ่นวายสับสน หาเป็นตัวต้นอันแท้จริงของคนคนนั้น หากเป็นโหราศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เราจะไม่รู้เลยว่า คนที่พยากรณ์อยู่นั้น อาจจะเป็นดวงเศรษฐี มหาเศรษฐี แต่ในพื้นดวงดูไม่ดี ดวงเขาเป็นคนยากจนต่ำต้อยไปเลยก็ได้ แต่หลักอินทภาส-บาทจันทร์นั้น สามารถล้วงลึกได้ตั้งแต่ต้น แค่จับทางเข้าที่เป็นอินทภาส-บาทจันทร์-และลัคนาของเขา ก็ทายความเป็นตัวเขาได้เป็นอย่างดี โอกาสที่ผิดพลาดจึงน้อยลง เพิ่มความมั่นใจให้กับผู้เรียนโหราศาสตร์ได้มากขึ้น นี่คือความละเอียดลึกซึ้ง อันเป็นทางเข้า ในการประมวลผลบุญ-วาสนา-บารมีของคน ที่โหรยุคโบราณปกปิดไว้ ถ่ายทอดให้เฉพาะศิษย์เข้าตาเท่านั้น หากผู้ใดสนใจศึกษาเล่าเรียนแล้วล่ะก็ จะสนุกเพลิดเพลินกับการเจอตัวตนอันแท้จริง ของผู้ที่เรากำลังวิเคราะห์ชะตาของเขาอยู่นั่นเอง
0 comments:
Post a Comment